วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

หาดทรายแก้ว







หาดทรายแก้ว (Saikaew Beach)


ประวัติความเป็นมา
เดิม“หาดทรายแก้ว”มีชื่อเรียกว่า “หาดน้อย” ตั้งอยู่บริเวณอ่าวน้อย ตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี มีเนื้อที่ประมาณ ๑๑๖ ไร่เศษ ต่อมาเมื่อ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ พลเรือเอก ทวีศักดิ์ โสมาภา ผู้บัญชาการทหารเรือขณะนั้น ได้ตระหนักถึงการพัฒนาพื้นที่เพื่อเป็น การสนับสนุนการท่องเที่ยวของรัฐบาล รวมทั้งเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกำลังพลในกองทัพเรือให้ดีขึ้น จึงได้สั่งการให้โรงเรียนชุมพล ทหารเรือ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ดำเนินการสำรวจ และพัฒนาพื้นที่นี้เพื่อจัดเป็นสถานที่พักผ่อนให้กับกำลังพลของกองทัพเรือตลอดจนบุคคลทั่วไป โดยให้มุ่งเน้นในการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และพยายามรักษาสภาพ แวดล้อมให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ดังเดิมมากที่สุด และจากการสนับสนุนของกองทุนหมู่บ้านซึ่งเป็นโครงการหนึ่งของรัฐบาล ทำให้ในปัจจุบันหาดมีที่พักที่สวยงามเพียงพอต่อความต้องการของนักท่องเที่ยวมากขึ้น
ลักษณะทางธรรมชาติ
"หาดทรายแก้ว” มีความยาวประมาณ ๑,๗๐๐ เมตร เป็นหาดทรายปนปะการัง ลักษณะเม็ดทรายละเอียดขาวอันเกิดจากการทับถมของทรายและปะการัง คล้าย หาดในฝั่งทะเลอันดามัน น้ำทะเลใสสะอาด มีพันธุ์ไม้ธรรมชาติขึ้นอยู่หลากหลายชนิด ภูมิประเทศรายรอบด้วย ภูเขา มีป่าละเมาะซึ่งยังคงสภาพสมบูรณ์ มีพื้นที่ราบหลังหาดประมาณ ๑๐๐ ไร่ ซึ่งพบมีร่องรอยของเตาเผาถ่านเก่าโบราณอยู่จำนวน ๘ เตา หาดทรายมีลักษณะไม่ลาดชัน พื้นท้องทะเลเป็นทรายปนปะการังและหาดหิน ถือเป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การ ท่องเที่ยว ดำน้ำและพักผ่อนหย่อนใจ อีกแห่งหนึ่งในอำเภอสัตหีบจังหวัดชลบุรี
การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
หาดทรายแก้ว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ กองทัพเรือ เป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แบบยั่งยืน โดยจะรักษาความสวยงามตามธรรมชาติไว้เป็นหลัก มีบริการ รถรับ - ส่ง (ไม่อนุญาติให้นำรถยนต์เข้าหาดในวันหยุดราชการ) มีบริการอุปกรณ์ท่องเที่ยวต่าง ๆ เช่น เต็นท์ อุปกรณ์ดำน้ำ เรือคยัค อุปกรณ์พักผ่อนชายหาดต่าง ๆ มีร้านอาหาร เครื่องดื่ม และบริการอาบน้ำจืด เป็นต้น ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวสามารถมาพักผ่อนได้ตลอดทั้งปี เนื่องจากอยู่บนชายฝั่งและมีช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการท่องเที่ยวที่สุด ตั้งแต่ช่วงต้นฤดูหนาว ปลายเดือนกันยายน ถึงต้นเดือนธันวาคม เนื่องจากคลื่นลมไม่แรง อากาศไม่ร้อน ข้อห้ามที่ต้องถือปฏิบัติเพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แบบยั่งยืน1. ไม่ทิ้งขยะมูลฝอย ขวดแก้ว เศษแก้ว ตามเส้นทางและชายหาดโดยเด็ดขาด2. ไม่ก่อไฟ รวมทั้งหุงต้มและประกอบอาหารในพื้นที่3. ไม่ตัดไม้ ไม่เก็บหินหรือทรายและปะการัง4. ปฏิบัติตามที่เจ้าหน้าที่หาดแนะนำโดยเคร่งครัด
สิ่งอำนวยความสะดวก
โรงเรียนชุมพลทหารเรือ ได้ดำเนินการจัดพื้นที่ ให้เหมาะสมกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ โดยสร้าง สิ่งปลูกสร้างเท่าที่จำเป็น เช่น ห้องอาบน้ำจืด ที่พัก รวมทั้งจัดพื้นที่ราบบางส่วนเป็นที่กางเต็นท์ ให้สอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติ โดยจะไม่ก่อสร้างอาคารถาวรขนาดใหญ่ การท่องเที่ยวหรือพักผ่อนจึงจำเป็นต้องรักษาระเบียบการใช้ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันอย่างตระหนักในคุณค่า ไม่ทำลายธรรมชาติ เช่น ไม่ตัดต้นไม้ ไม่ก่อไฟ เป็นต้น สถานที่เพื่อบริการนักท่องเที่ยวมี ดังนี้.-
ศูนย์รับจองห้องพักและอาคารสำนักงาน มีเจ้าหน้าที่บริการ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวในด้านต่าง ๆ และการสำรองห้องพัก ในส่วนของศูนย์รับจองห้องพักนั้นตั้งอยู่ที่ ฝ่ายกิจการพลเรือน อาคารกองบังคับการ โรงเรียนชุมพลทหารเรือ ส่วนอาคารสำนักงานนั้นตั้งอยู่บริเวณหาดทรายแก้ว
เรือนพัก บ้านพัก เต็นท์และอาคารรับรอง
โรงเรียนชุมพลทหารเรือ ได้จัดสร้างเรือนพักแบบธรรมชาติเหมาะสมกับการพักตากอากาศ นักท่องเที่ยวสามารถกางเต็นท์ได้ หรือเช่าเต็นท์จากอาคารสำนักงานได้เช่นกัน นอกจากนี้โรงเรียนชุมพลทหารเรือได้จัดบริการอาคารรับรอง สำหรับรองรับนักท่องเที่ยวที่มาเป็นหมู่คณะ ซึ่งบ้านพักรับรองและอาคารรับรองจะตั้งอยู่บริเวณอ่าวเกล็ดแก้ว มีรายละเอียดดังนี้ บ้านพักและอาคารรับรอง (อ่าวเล็ดแก้ว)http://beach.nrs.ac.th/

อริยสัจ ๔



อริยสัจ 4
มีความจริงอยู่ 4 ประการคือ การมีอยู่ของทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และ หนทางไปสู่ความดับทุกข์ ความจริงเหล่านี้เรียกว่า อริยสัจ 4
1. ทุกข์ คือ การมีอยู่ของทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ และตายล้วนเป็นทุกข์ ความเศร้าโศก ความโกรธ ความอิจฉาริษยา ความวิตกกังวล ความกลัวและความผิดหวังล้วนเป็น ทุกข์ การพลัดพรากจากของที่รักก็เป็นทุกข์ ความเกลียดก็เป็นทุกข์ ความอยาก ความยึดมั่นถือมั่น ความยึดติดในขันธ์ทั้ง 5 ล้วนเป็นทุกข์
2. สมุทัยคือ เหตุแห่งทุกข์ เพราะอวิชา ผู้คนจึงไม่สามารถเห็นความจริงของชีวิต พวกเขาตกอยู่ในเปลวเพลิงแห่งตัณหา ความโกรธ ความอิจฉาริษยา ความเศร้าโศก ความวิตกกังวล ความกลัว และความผิดหวัง
3. นิโรธ คือ ความดับทุกข์ การเข้าใจความจริงของชีวิตนำไปสู่การดับความเศร้า โศกทั้งมวล อันยังให้เกิดความสงบและความเบิกบาน
4. มรรค คือ หนทางนำไปสู่ความดับทุกข์ อันได้แก่ อริยมรรค 8 ซึ่งได้รับการหล่อ เลี้ยงด้วยการดำรงชีวิตอย่างมีสติความมีสตินำไปสู่สมาธิและปัญญาซึ่งจะปลดปล่อย ให้พ้นจากความทุกข์และความโศกเศร้าทั้งมวลอันจะนำไปสู่ความศานติและ ความเบิกบาน พระพุทธองค์ได้ทรงเมตตานำทางพวกเราไปตามหนทางแห่งความรู้แจ้งนี้

อาหารจานโปรด

ขนมจีน




ขนมจีน เป็นอาหารคาวอย่างหนึ่งของไทย ประกอบด้วยเส้นเรียกว่า เส้นขนมจีน และน้ำยา หรือน้ำยาขนมจีน เป็นที่นิยมทุกท้องถิ่นของไทย แต่มีการปรุงน้ำยาที่แตกต่างกัน
แม้ว่า ขนมจีน จะมีคำว่า "ขนม" แต่ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับขนมใดๆ ขณะเดียวกัน แม้จะมีคำว่า "จีน" แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาหารของจีน ภาษาเหนือเรียก ขนมเส้น ภาษาอิสาน เรียก ข้าวปุ้น จะมีขนมจีนชนิดหนึ่งซึ่งใกล้เคียงกับขนม คือ ขนมจีนซาวน้ำ เพราะมีรสหวานขนมจีน เป็นอาหารคาวอย่างหนึ่งของไทย ประกอบด้วยเส้นเรียกว่า เส้นขนมจีน และน้ำยา หรือน้ำยาขนมจีน เป็นที่นิยมทุกท้องถิ่นของไทย แต่มีการปรุงน้ำยาที่แตกต่างกัน
แม้ว่า ขนมจีน จะมีคำว่า "ขนม" แต่ก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับขนมใดๆ ขณะเดียวกัน แม้จะมีคำว่า "จีน" แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาหารของจีน ภาษาเหนือเรียก ขนมเส้น ภาษาอิสาน เรียก ข้าวปุ้น จะมีขนมจีนชนิดหนึ่งซึ่งใกล้เคียงกับขนม คือ ขนมจีนซาวน้ำ เพราะมีรสหวานhttp://www.praram9kaiyang.com/
ซุปหน่อไม้ใช้หน่อไม้ลวกที่มีขึ้นตามภูเขามาขูดฝอย ต้มน้ำทิ้งจนมีรสจืด แล้วต้มต่อด้วยน้ำย่านางกับใบแมงลัก เพื่อกำจัดรสฝาดและขมออกไป ขั้นตอนการปรุง นำหน่อไม้ที่ต้มปรุงครั้งแรกมาเข้าเครื่องสมุนไพร ปรุงรสด้วยน้ำปลา มะนาว จนมีรสกลมกล่อม
http://www.praram9kaiyang.com/presentmenu.htm#read4


ไก่ย่าง




คำว่า "ส้มตำ" เป็นภาษาถิ่น มาจากคำว่า "ส้ม" มีความหมายว่ารสเปรี้ยว ส่วนทำว่า "ตำ" เป็นกริยา หมายถึง การทำให้แหลกโดยอุปกรณ์เฉพาะ ที่เรียกว่า "สาก" คำว่า "ส้มตำ" จึงหมายถึง อาหารรสเปรี้ยวที่ผ่านการตำ











วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551

กวยสุรินทร์(บ้านแตล)




กวยสุรินทร์
กวย
วัฒนธรรมชาวกวยชุมชนข้าพเจ้ายมีวัฒธรรมที่โดดเด่นคือ ภาษาพูด ชาวข้าพเจ้ายไม่มีภาษาเขียนดังนั้นชาวข้าพเจ้ายมีการปรับตัวงอยู่เสมอ เช่น การใช้ภาษาอื่นๆ ได้ดี เมื่อเข้ากลุ่มชนอื่น สามารถพูดภาษาเขมรได้ เมื่อต้องการสื่อความหมายทางภาษาเขมร หรือสามารถพูดภาษาลาวได้เมื่ออาศัยอยู่ในชุมชนลาวเมื่อชาวข้าพเจ้ายไม่มีภาษาเขียนจึงมีวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อๆกันมาจนถึงปัจจุบันด้านภาษาพูด นอกจากนี้ยังมีนิทาน นิยาย เพลง คติชาวบ้าน และคำสวดคำกล่าวพิธีกรรม ตัวอย่างที่สะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวข้าพเจ้ายได้ คือ ตัวอย่างนิทานเรื่องนกกระยาง ชาวข้าพเจ้ายเรียกว่า “อึมเถียนแจมกลอ” ในเนื้อหาสาระของนิทานที่กล่าวเป็นข้อความออกมาได้เข้าใจสำนึกอดีตของกลุ่มชาติข้าพเจ้ายได้จึงขออธิบายข้อความจากนิทานดั้งนี้“แจมกลอ เอย หมวง บวยจา หนอ บวย จา อกาอกา เอย เกิด หนอ บิ หวัจ เถอฮ บึงบึง เอย เกิด หนอ ติ เถอฮ ตริอ์ บิ จาตริอ์ เอย เกิด หนอ ตี บิ จา โป่ลฮ ผุงผุง เอย เกิด หนอ ตี โป่ลฮ โดย อ โฮโดย เอย เกิด หนอ ติ โฮ เหมีย ฉาฮเหมีย เอย เกิด หนอ ติ ฉาฮ อข้าพเจ้าด กเหยียมอข้าพเจ้าย เอย เกิด หนอ ติ กเหยียม กซญ กับกซัญ เอย เกิด หนอ ติ กับ ฮึมถราบ โซจฮึมถราบ เออย เกิด หนอ ติ โซจ ก โมจ ลอกจอกจูย……….กซูยหลึง คูง มะนูง กอน อข้าพเจ้าด………….แซ หวัว จา………ซลา เซอ โดย ก โบย หงวจ เดียะ เผรียะไฮแจว…..”นิทานชาวข้าพเจ้ายเรื่อง แจมกลอ ( แจม แปลว่า นก, กลอเป็นชื่อหอย) เป็นนิทาที่ชาวข้าพเจ้าย ซึ่งผู้ใหญ่มีการเล่าให้เด็กๆฟังจนเด็กๆ จำได้ เมื่อเด็กโตขึ้นมีครอบครัวก็ต้องเล่าให้ลูกหลานฟังต่อๆไปอีก แสดงถึงลักษณะความโดดเด่นในกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่มีตัวหนังสือเขียนนิทานเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวข้าพเจ้ายได้ดี การกล่าวถึงสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่รอบๆตัว และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ประจำ เช่น การกล่าวถึงหนองน้ำมีบึงปลา นก กบ เขียด งู มด แมลง ควายที่อาศัยบึงหญ้าเป็นอาหาร การเกิดลมฝนตกตามธรรมชาติ การออกหาอาหารนำมาเป็นอาหารประจำวัน การประกอบอาชีพทำนา ทอผ้า บ้านเป็นที่อยู่อาศัย ภาชนะใส่อาหาร คือใช้ใบไม้ใส่ข้าวสุก ใช้กะลาตักน้ำดื่มและเก็บผักป่า (ผักดอกกระเจียวมาเป็นอาหาร) จากนิทานเรื่องนี้ได้มองเห็นอดีตของกลุ่มชนชาวข้าพเจ้ายได้ดี และเป็นวิถีชีวิตที่ต้องอาศัยธรรมชาติเป็นลักษณะของชาวข้าพเจ้ายที่มองเห็นคุณค่ากับชีวิตที่มีความเป็นอิสระ และยังอาศัยพืชธรรมชาติช่วยปกป้องคุ้มครองในสุขภาพ ที่เรียกว่า “ภูมิคุ้มกันโรค” ซึ่งที่อาศัยของชาวข้าพเจ้ายมีผีประจำหมู่บ้านคือ ศาลปู่ตา ผีหนองน้ำ ผีไร่นา ผีที่มีอยู่ทั้ง 3 อย่างดังกล่าวในปัจจุบันยังมีพิธีกรรมที่ยังคงอยู่ความเหนียวแน่นของชาวข้าพเจ้าย เช่น ข้าพเจ้ายบ้านตรึม ตำบลตรึม,ข้าพเจ้ายบ้านตรมไพร ตำบลตรมไพรและข้าพเจ้ายบ้านแตล ตำบลแตล อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ส่วนผีประกำ ยังเชื่อในกลุ่มชนชาวข้าพเจ้ายเลี้ยงช้าง ถ้าหยุดเลี้ยงช้างผีประกำปรับเป็นผีบรรพบุรุษนอกจากนี้ภาษาที่ใช้ในพิธีกรรมประจำวันเป็นเอกลักษณ์ของคนในท้องถิ่นในอิสานใต้ที่มีอยู่อาศัยเป็นเวลานานและน่าจะเป็นเจ้าของท้องถิ่นนี้ก่อนกลุ่มชาติพันธุ์เขมร ลาว และไทย แต่ก็ต้องรอข้อเท็จจริงจากนักภาษาศาสตร์ ทำการศึกษาให้เกิดความชดเจนกว่านี้พิธีกรรมเรื่องพุทธ พราหมณ์ ผี ยังปรากฎชัดเจนในชุมชนข้าพเจ้าย การเดินทางออกไปนอกชุมชน เชื่อในคำสวดที่สืบทอดจากคำสอนของบรรพบุรุษ คำกล่าวคำสวดมีบทบาลี เช่น “ อัมมะตัง ปะกาเสนโต ราชาสิงโต สัตถาหะ ยัมพุทธ เสโต ปะลิวรรณะ โรสัมสะ หิสุจิง” เป็นคาถาของนายคะ สมสุระ อาศัอยู่ที่บ้านแตลได้บวชเป็นพระสงฆ์จำวัดที่บ้านตรึม เมื่อลาศึกจากพระสงฆ์ แล้วได้เดินทางลงไปประเทศกัมพูชาอยู่เนืองๆ เพื่อผูกความสัมพันธ็กับชาวกัมพูชา และการหาของป่า ดังนั้นคำสวดเป็นเครื่องมือสำคัญทางด้านกำลังใจทุกครั้ง พิธีกรรมทางพรหมณ์ที่คงอยู่ได้แก่ หยะจุ๊เพรียม (ปู่ตาพราหมณ์) ชาวบ้านกล่าวว่าปู่ตาพราหมณ์นี้น่าจะเกิดขึ้นกับการตั้งหมู่บ้าน เช่น ปู่ตาพราหมณ์บ้านแตล อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ พิธีกรรมชาวข้าพเจ้ายเริ่มขึ้นเดือน 3 ก่อนลงงานประกอบอาชีพทำนา จุดประสงค์สำคัญมีการเสี่ยงทายดูคางไก่และมีผู้เฒ่าหรือเถ้าจ้ำทำนายความอุดมสมบูรณ์ก่อนลงมือทำนาในพิธีกรรมที่ยังคงอยู่ที่น่าสนใจ คือ พิธีหว่านพันธุ์ข้าวที่เป็นพันธุ์ข้าวสมัยเดิมมีพันธุ์นางคง, นางร้อย และพันธุ์ข้าวเหนียวปองแอว ทุกคนที่มาร่วมพิธีต้องมีส่วนร่วมในการรับประทานลาบเต่าที่ปรุงแต่งให้สุก อาหารจากเนื้อเต่านี้ชี้ให้เห็นธรรมชาติที่ส่งผลให้แก่ชุมชนชาวข้าพเจ้ายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันชาวข้าพเจ้ายเชื่อในเรื่องผีเพราะช่วยในเรื่องสุขภาพได้ดังนั้นการรักษาโรคกระดูกให้กับผู้ป่วยครูหมอต้องจมคาถา หรือไสยศาสตร์ ลงในยาก่อนที่ให้ผู้ป่วยกินยา ดังคาถาเป่ารักษาให้คนป่วยของพระครูบริหารชัยมงคล วัดชัยมงคล มุนีวาส บ้านตรมไพร อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ กล่าวว่าออมละคุละคัด ผีปัตผีเลียออมตะยัง อังมะลมผสมเนื้อ ติดเนื้อ ให้เป็นเนื้อเดียวในพิธีกรรมมีการปรับพิธีของกลุ่มชาวลาว และเขมร เข้าด้วยกัน ชี้ให้เห็นการยอมรับของกลุ่มชาติพันธุ์อื่น เพื่อผสมผสานชีวิตความเป็นอยู่ร่วมกัน เช่น พิธีกรรมแกลมออะจิ่งของชาวข้าพเจ้ายบ้านแตล จังหวัดสุรินทร์ จุดประสงค์คือรักษาขวัญจิตใจให้กับคนป่วย ในพิธีกรรมนี้มีพิธีบายศรีสู่ขวัญให้กับผู้ป่วย คำสวดของครูบาใหญ่จะกล่าวเป็นคำสวดภาษาบาลี สำเนียงภาษาลาว พิธีจุดบั้งไฟเพื่อบอกพระยาแถบบนสวรรค์ที่ชาวบ้านต้องการให้ฝนตกตามฤดูกาล อาจกล่าวได้ว่าจุดประสงค์พิธีกรรมดังกล่วชาวข้าพเจ้ายให้ความสำคัยในการโยงพิธีกรรมเข้าสู่การเกษตรกรรม และสุขภาพของชีวิต โดยเฉพาะด้านจิตใจที่คุ้มครองชีวิตให้เกิดความสุขสบายและคุ้มครองความเป็นธรรมของชุมชน อย่างไรก็ตามสภาพชีวิตของชาวข้าพเจ้ายในชุมชนในอีสานใต้ หลังมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติตั้งแต่ปี พ.ศ.2504 จนถึงปัจจุบัน รัฐมุ่งนโยบายการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นสำคัญ สภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ได้เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะป่าที่หมดไปกลายไปเป็นไร่นา ชาวข้าพเจ้ายต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจากการหาของป่ามาทำการประกอบอาชีพทำนาเป็นสำคัญการทำนาที่ได้ผลไม่คุ้มค่า เพราะต้านทานกระแสการพัฒนาที่เข้ามาสู่ชุมชน ผลผลิตที่ผลิตได้ไม่พอเพียงใช้จ่ายในครัวเรือน จึงต้องใช้ชีวิตไปหางานทำที่อยู่นอกชุมชน ชาวข้าพเจ้ายที่รักษาความเป็นอิสระความเป็นธรรม จึงเสียเปรียบกับผู้ที่แสวงหาผลประโยชน์ ถึงกับชาวข้าพเจ้ายที่ไปขายแรงงานตั้งแต่สำเร็จการศึกษาประถมศึกษาปีที่ 4 ผู้หนึ่งกล่าวว่า“ไทยกินเหล็ก เจ็กกินนาคบกับเจ็ก เป็นเด็กเลี้ยงควายคบกับแกว ว่าวแล้วว่าวอีกคบกับเขมร เวรบอแล้วคบกับลาวสาวได้สาวเอาคบกับส่วย (ข้าพเจ้าย) ไม่รวยไม่เลิก” กลุ่มชาวข้าพเจ้ายอะจิง(ข้าพเจ้าย Damrei) อีกกลุ่มหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งแต่เดิมมีการจับช้างส่งให้ทางราชการ “ส่วยช้าง” ต่อมารัฐต้องการเงินตราแทน ชาวข้าพเจ้ายจึงต้องโพนช้างป่าขายให้กับนักธุรกิจค้าไม้ทางภาคเหนือเพื่อทำการลากซุง ปัญหาด้านความสำพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาในเรื่องรอยตะเข็บชายแดน ตามแนวพนมดงรัก โดยเฉพาะการอ้างอิงสิทธิ์ในปราสาทเขาพระวิหาร ส่งผลให้ชาวข้าพเจ้ายตั้งแต่ พ.ศ.2504 ไม่สะดวกต่อความปลอดภัยในชีวิตได้ทำงานโพนช้างป่า และช้างที่อยู่ได้ใช้ในกิจกรรมการค้าเร่สมุนไพร เครื่องรางของขลัง ใช้ช้างออกงานในพิธีกรรมบวชนาค แสดงในงานช้างแฟร์ของจังหวัดสุรินทร์ (เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.2503 จนถึงปัจจุบันนี้ ) ทุกวันนี้ข้าพเจ้ายจะอิงได้พัฒนาการหารายได้ให้กับครอบครัวด้วยการนำช้างไปแสดงให้กับนายทุนต่างจังหวัด เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น จังหวัดภูเก็ต บางครัวเรือนก็แร่ขายอาหารช้างให้กิน ค่าตอบแทนที่ได้ก็นำมาใช้จ่ายในครัวเรือนซึ่งเราจะพบเห็นช้างแร่ขายอาหารอยู่ทั่วไปตามตัวเมืองจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะจังหวัดใหญ่ที่มีการเน้นเรื่องการท่องเที่ยว เช่น จังหวัดเชียงใหม่ ชาวข้าพเจ้ายกลุ่มนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงวิธีชีวิตของชาวข้าพเจ้ายในท่ามกลางของแผนพัฒนาเศรฐกิจและสังคมแห่งชาติกิจกรรมบางเรื่องรัฐไม่ให้ความสำคัญในอดีตที่มา เช่น พิธีกรรม เล่นออหรือมอ ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่มีจุดประสงค์ในด้านภูมิคุ้มกันโรค เป็นพิธีกรรมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน ในลักษณะการถ่ายถอดด้านพันธุ์กรรม ทางพิธีกรรมของชาวข้าพเจ้าย รัฐให้ความสำคัญด้านการควบคุมสังคม ปกป้องความปลอกภัยจากสงคราม โจรผู้ร้าย และจัดเก็บภาษีจากราษฎร ส่วนพิธีกรรมเล่นมอหรือออ จึงปรากฎโดดเด่นของสังคม วัฒนธรรมของชาวข้าพเจ้าย ถ้าศึกษาสนใจ โดยเจาะลึกแล้ว สามารถที่จะเข้าใจรากเหง้าวัฒนธรรม สังคมข้าพเจ้ายอีกมุมหนึ่ง ขณะนี้ได้มี ผศ.ดร.อัจฉรา กานุรัตน์ อธิการบดีสถาบันราชภัฎสุรินทร์ ท่านมีจุดมองถึงวัฒนธรรมพื้นบ้านนี้มาก เพราะสามารถเข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ในองค์รวมชาวข้าพเจ้ายในแง่คุณค่า ภูมิปัญญา และศักดิ์ศรีชาวข้าพเจ้ายที่ย้อนยุคอดีตที่เป็นชุมชนแรกในเขตอีสานใต้ ท่านได้นำเสนอถึงจุดเด่นด้านพิธีกรรมที่เรียกว่า "พระมอเฒ่า " โดยจัดกิจกรรมแสดงละครจัดฉากในข้อเท็จจริงเสนอต่อความก้าวหน้า ผลงานทางการศึกษาวิจัยอย่างเนื่องต่อชุมชนท้องถิ่นให้เกิดความสำนึกอดีต เข้าใจจุดยืนของตัวเอง ให้ชาวข้าพเจ้ายเข้าใจตนเอง และสังคมกลุ่มชาติ เขมร ลาว ที่อยู่ร่วมกับวัฒนธรรมกับกลุ่มชาติอื่นๆได้ดี และปี พ.ศ.2544 ได้จัดแสดงละครเรื่อง "พระมอเฒ่า " ในระหว่างประเพณีแสดงช้างแฟร์ของจังหวัดสุรินทร์ คิดว่าแนวโน้มกลุ่มชาติพันธุ์ข้าพเจ้ายจะได้เพิ่มความสำคัญ แต่ทำไมจังหวัดในภาคอีสานใต้ในประเทศไทย มีคำกล่าวขานว่ามีรายได้ที่ลำดับสุดท้ายของประเทศไทย โดยเฉพาะจังหวัดสุรินทร์ และศรีสะเกษซึ่งมีประชากรข้าพเจ้ายอยู่หนาแน่นจึงเป็นเรื่องที่น่าคิดอาจกล่าวสรุปได้ว่า ชุมชนชาวข้าพเจ้ายเป็นชุมชนเก่าแก่มีการตั้งถิ่นฐานอยู่ในอีสานใต้,ลาวตอนล่าง และตะวันออกเฉียงเหนือของกัมพูชา กรณีชุมชนชาวข้าพเจ้ายในอีสานใต้นั้นมีประชากรอยู่หนาแน่นในจังวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และบางอำเภอในจังหวัดบุรีรัมย์และอุบลราชธานี มีจำนวนทั้งสิ้น 273,570 คน จำนวน 686 หมู่บ้าน ลักษณะเศรษฐกิจเป็นเศรษฐกิจพอเลี้ยงชีพ เดิมชำนาญหาของป่า ส่วนหนึ่งส่งให้แก่ทางราชการ ปัจจุบันสถานะของชาวข้าพเจ้ายได้เปลี่ยนมาเป็นสัญชาติไทย ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ 5 และเศรษฐกิจของชาวข้าพเจ้ายยังทำให้การผลิตเพื่อกินอีกส่วนหนึ่งผลิต เพื่อให้ได้เงินตราไว้ซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของที่จำเป็นในครัวเรือนอาชีพที่สำคัญคือ การทำนา รับจ้างขายแรงงาน หาของป่า เลี้ยงสัตว์ ปลูกผักสวนครัว ด้านวัฒนธรรมมีภาษาพูดเป็นภาษาที่ใช้กันในชุมชน ศักยภาพที่ยังคงอยู่และมีการเข้าช่วยเหลือจากรัฐ ผลที่ได้รับตอบแทนพอเป็นต้นแบบแก่หมู่บ้านอื่นๆได้แก่ เศรษฐกิจชุมชนของบ้านม่วงหวาน-โคกเจริญ ตำบลจันดุม อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ชาวข้าพเจ้ายที่ได้รับผลที่ยังไม่พอใจนักเพราะชาวบ้านต้องต่อสู้กับกลุ่มภายนอกชุมชนเอาเปรียบ ได้แก่ บ้านเวินบึก ตำบลโขงเจียม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี แต่ชาวข้าพเจ้ายที่จังหวัดสุรินทร์ได้รับการช่วยเหลือทั้งทางภาครัฐและภาคเอกชน(องค์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) ได้เข้ามามีบทบาทมากในการต่อสู้ชีวิตและ การมีวิถีชีวิตที่ดีนั้น ต้องศึกษาวิจัยเพื่อหาลู่ทางการพัฒนาชีวิตชาวข้าพเจ้ายต่อไปนำมาจาก surin.net (คุณเซราะกราวนด์)http://www.tidso.com/board_3/view.php?id=25




























































วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551

สมุนไพร


สมุนไพรความหมายของสมุนไพร
คำว่า สมุนไพร ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง พืชที่ใช้ ทำเป็นเครื่องยา สมุนไพรกำเนิดมาจากธรรมชาติและมีความหมายต่อชีวิตมนุษย์โดยเฉพาะ ในทางสุขภาพ อันหมายถึงทั้งการส่งเสริมสุขภาพและการรักษาโรค ความหมายของยาสมุนไพรในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 ได้ระบุว่า ยาสมุนไพร หมายความว่า ยาที่ได้จากพฤกษาชาติสัตว์หรือแร่ธาตุ ซึ่งมิได้ผสมปรุงหรือแปรสภาพ เช่น พืชก็ยังเป็นส่วนของราก ลำต้น ใบ ดอก ผลฯลฯ ซึ่งมิได้ผ่านขั้นตอนการแปรรูปใด ๆ แต่ในทางการค้า สมุนไพรมักจะถูกดัดแปลงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ถูกหั่นให้เป็นชิ้นเล็กลง บดเป็นผงละเอียด หรืออัดเป็นแท่งแต่ในความรู้สึกของคนทั่วไปเมื่อกล่าวถึงสมุนไพร มักนึกถึงเฉพาะต้นไม้ที่นำมาใช้เป็นยาเท่านั้น สมุนไพร หมายถึง พืชที่มีสรรพคุณในการรักษาโรค หรืออาการเจ็บป่วยต่าง ๆ การใช้สมุนไพรสำหรับรักษาโรค หรืออาการเจ็บป่วยต่างๆ นี้ จะต้องนำเอาสมุนไพรตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปมาผสมรวมกันซึ่งจะเรียกว่า "ยา" ในตำรับยา นอกจากพืชสมุนไพรแล้วยังอาจประกอบด้วยสัตว์และแร่ธาตุอีกด้วย เราเรียกพืช สัตว์ หรือแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของยานี้ว่า "เภสัชวัตถุ"พืชสมุนไพรบางชนิด เช่น เร่ว กระวาน กานพลู และจันทน์เทศ เป็นต้น เป็นพืชที่มีกลิ่นหอมและมีรสเผ็ดร้อน ใช้เป็นยาสำหรับขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ พืชเหล่านี้ถ้านำมาปรุงอาหารเราจะเรียกว่า "เครื่องเทศ" ในพระราชบัญญัติยาฉบับที่ 3 ปีพุทธศักราช 2522 ได้แบ่งยาที่ได้จากเภสัชวัตถุนี้ไว้เป็น 2 ประเภทคือ
1. ยาแผนโบราณ หมายถึง ยาที่ใช้ในการประกอบโรคศิลปะแผนโบราณหรือในการบำบัดโรคของสัตว์ ซึ่งมีปรากฏอยู่ในตำรายาแผนโบราณที่รัฐมนตรีประกาศ หรือยาที่รัฐมนตรีประกาศให้เป็นยาแผนโบราณ หรือได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนตำรับยาเป็นยาแผนโบราณ
2. ยาสมุนไพร หมายถึงยาที่ได้จากพืชสัตว์แร่ธาตุที่ยังมิได้ผสมปรุงหรือแปรสภาพสมุนไพรนอกจากจะใช้เป็นยาแล้ว ยังใช้ประโยชน์เป็นอาหาร ใช้เตรียมเป็นเครื่องดื่ม ใช้เป็นอาหารเสริม เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง ใช้แต่งกลิ่น แต่งสีอาหารและยา ตลอดจนใช้เป็นยาฆ่าแมลงอีกด้วย ในทางตรงกันข้าม มีสมุนไพรจำนวนไม่น้อยที่มีพิษ ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีหรือใช้เกินขนาดจะมีพิษถึงตายได้ ดังนั้นการใช้สมุนไพรจึงควรใช้ด้วยความระมัดระวังและใช้อย่างถูกต้อง ปัจจุบันมีการตื่นตัวในการนำสมุนไพรมาใช้พัฒนาประเทศมากขึ้น สมุนไพรเป็นส่วนหนึ่งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินโครงการ สมุนไพรกับสาธารณสุขมูลฐาน โดยเน้นการนำสมุนไพรมาใช้บำบัดรักษาโรคในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐมากขึ้น และ ส่งเสริมให้ปลูกสมุนไพรเพื่อใช้ภายในหมู่บ้านเป็นการสนับสนุนให้มีการใช้สมุนไพรมากยิ่งขึ้น อันเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยประเทศชาติประหยัดเงินตราในการสั่งซื้อยาสำเร็จรูปจากต่างประเทศได้ปีละเป็นจำนวนมาก
ปัจจุบันมีผู้พยายามศึกษาค้นคว้าเพื่อพัฒนายาสมุนไพรให้สามารถนำมาใช้ในรูปแบบที่สะดวกยิ่งขึ้น เช่น นำมาบดเป็นผงบรรจุแคปซูล ตอกเป็นยาเม็ด เตรียมเป็นครีมหรือยาขี้ผึ้งเพื่อใช้ทาภายนอก เป็นต้น ในการศึกษาวิจัยเพื่อนำสมุนไพรมาใช้เป็นยาแผนปัจจุบันนั้น ได้มีการวิจัยอย่างกว้างขวาง โดยพยายามสกัดสารสำคัญจากสมุนไพรเพื่อให้ได้สารที่บริสุทธิ์ ศึกษาคุณสมบัติทางด้านเคมี ฟิสิกส์ของสารเพื่อให้ทราบว่าเป็นสารชนิดใด ตรวจสอบฤทธิ์ด้านเภสัชวิทยาในสัตว์ทดลองเพื่อดูให้ได้ผลดีในการรักษาโรคหรือไม่เพียงใด ศึกษาความเป็นพิษและผลข้างเคียง เมื่อพบว่าสารชนิดใดให้ผลในการรักษาที่ดี โดยไม่มีพิษหรือมีพิษข้างเคียงน้อยจึงนำสารนั้นมาเตรียมเป็นยารูปแบบที่เหมาะสมเพื่อทดลองใช้ต่อไป
ได้จาก http://www.samunpri.com/